การใช้แถบโบลิงเจอร์เพื่อกำหนดจุดตัดขาดทุน
การใช้แถบโบลิงเจอร์เพื่อกำหนดจุดตัดขาดทุน
บทความนี้จะแนะนำวิธีการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่าง แถบโบลลิงเจอร์ (Bollinger Bands) เพื่อช่วยในการตัดสินใจเรื่องการตัดขาดทุน (Stop Loss) สำหรับผู้ที่ถือครองสินทรัพย์ใน ตลาดสปอต และต้องการใช้ สัญญาฟิวเจอร์ส เพื่อช่วยในการบริหารความเสี่ยง บทความนี้เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการเรียนรู้การผสมผสานระหว่างการลงทุนระยะยาวและการป้องกันความเสี่ยงอย่างง่าย
แถบโบลลิงเจอร์คืออะไร?
แถบโบลลิงเจอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความผันผวนของราคาโดยการสร้างแถบสามเส้นรอบๆ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ของราคา:
- **แถบกลาง (Middle Band):** โดยทั่วไปคือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 20 วัน
- **แถบบน (Upper Band):** ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่บวกด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สองเท่า
- **แถบล่าง (Lower Band):** ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลบด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสองเท่า
แนวคิดหลักคือราคาซื้อขายส่วนใหญ่มักจะอยู่ภายในแถบบนและแถบล่าง หากราคาทะลุออกนอกแถบ อาจบ่งชี้ถึงสภาวะที่ซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) หรือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
การใช้แถบโบลลิงเจอร์เพื่อกำหนดจุดตัดขาดทุน
สำหรับนักลงทุนที่ถือครองสินทรัพย์ใน ตลาดสปอต การกำหนดจุดตัดขาดทุนเป็นสิ่งสำคัญเพื่อจำกัดการสูญเสียหากตลาดเคลื่อนไหวผิดคาด การใช้แถบโบลลิงเจอร์สามารถให้จุดอ้างอิงที่เป็นพลวัต (Dynamic) มากกว่าการตั้งจุดตายตัว
- 1. การกำหนดจุดตัดขาดทุนพื้นฐาน (Stop Loss)
เมื่อคุณซื้อสินทรัพย์ใน ตลาดสปอต และคาดว่าราคาน่าจะปรับตัวขึ้น คุณสามารถใช้แถบล่างของโบลลิงเจอร์เป็นแนวรับเบื้องต้นในการตั้งจุดตัดขาดทุนได้
- **หลักการ:** หากราคาทะลุลงมาต่ำกว่าแถบล่างอย่างมีนัยสำคัญ (โดยเฉพาะการปิดแท่งเทียนต่ำกว่าแถบล่าง) อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นกำลังอ่อนแอลง หรือตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงที่ผันผวนรุนแรงมากขึ้น การตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ใต้แถบล่างเล็กน้อยจะช่วยป้องกันการสูญเสียที่มากขึ้นหากการกลับตัวเกิดขึ้นจริง
- 2. การใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นเพื่อยืนยัน
การใช้ตัวชี้วัดเดียวอาจไม่เพียงพอในการตัดสินใจที่สำคัญเช่นการตัดขาดทุน เราควรใช้ แถบโบลลิงเจอร์ ร่วมกับตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น RSI หรือ MACD เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- **ตัวอย่างการยืนยัน:** หากราคาแตะหรือทะลุแถบล่าง และในขณะเดียวกัน RSI แสดงสภาวะขายมากเกินไป (เช่น ต่ำกว่า 30) นี่อาจเป็นสัญญาณซื้อที่น่าสนใจ แต่หากราคาแตะแถบล่างซ้ำๆ และ MACD เริ่มส่งสัญญาณขาลงอย่างชัดเจน การคงการถือครองอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้น และควรพิจารณาการตั้งจุดตัดขาดทุนที่เข้มงวดขึ้น หรือใช้การป้องกันความเสี่ยงด้วย สัญญาฟิวเจอร์ส
การใช้สัญญาฟิวเจอร์สเพื่อการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) แบบง่าย
สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสินทรัพย์ใน ตลาดสปอต ไว้ แต่กังวลว่าราคาอาจปรับตัวลงชั่วคราว การใช้ สัญญาฟิวเจอร์ส ในการป้องกันความเสี่ยงแบบบางส่วน (Partial Hedging) เป็นทางเลือกที่ดี การป้องกันความเสี่ยงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเบื้องต้น
- การป้องกันความเสี่ยงแบบบางส่วน (Partial Hedging)
สมมติว่าคุณถือครอง Bitcoin ใน ตลาดสปอต จำนวน 10 BTC และคุณคาดว่าอาจมีการปรับฐาน 10-20% ในระยะสั้น
1. **ประเมินความเสี่ยง:** คุณไม่ต้องการขายเหรียญสปอต เพราะเชื่อมั่นในระยะยาว แต่ต้องการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นใน 10% แรกของการปรับฐาน 2. **การเปิดสถานะฟิวเจอร์ส:** คุณสามารถเปิดสถานะ "Short" ใน สัญญาฟิวเจอร์ส ที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับ 3-5 BTC (ไม่ใช่ทั้งหมด 10 BTC) 3. **การตั้งจุดตัดขาดทุนในฟิวเจอร์ส:** คุณต้องตั้งจุดตัดขาดทุนสำหรับสถานะ Short ในฟิวเจอร์สอย่างระมัดระวัง หากตลาดไม่ปรับฐานตามที่คาด และราคาพุ่งสูงขึ้น สถานะ Short ของคุณจะขาดทุน แต่การขาดทุนนี้จะถูกชดเชยโดยกำไรจากเหรียญสปอตที่คุณถืออยู่ 4. **การยกเลิกการป้องกันความเสี่ยง:** เมื่อราคาใน ตลาดสปอต เด้งกลับมา หรือเมื่อ แถบโบลลิงเจอร์ ส่งสัญญาณว่าตลาดกลับสู่ภาวะปกติ คุณสามารถปิดสถานะ Short ในฟิวเจอร์สเพื่อยกเลิกการป้องกันความเสี่ยง และกลับไปใช้กลยุทธ์การถือครองแบบเดิม วิธีการนี้ช่วยให้เกิด การปรับสมดุลพอร์ตด้วยการเทรดสองฝั่ง
- ตารางเปรียบเทียบการตั้งจุดตัดขาดทุน
นี่คือตัวอย่างวิธีการปรับจุดตัดขาดทุนตามความผันผวนที่วัดโดย แถบโบลลิงเจอร์
สถานการณ์ราคา | แถบโบลลิงเจอร์บ่งชี้ | จุดตัดขาดทุนสปอตที่แนะนำ (อ้างอิงจากแถบ) |
---|---|---|
ราคาวิ่งในกรอบแคบ | แถบแคบ (ความผันผวนต่ำ) | ตั้งจุดตัดขาดทุนห่างจากราคาเข้าเล็กน้อย (ทั่วไป) |
ราคาแตะแถบบน | แถบกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว | พิจารณาเลื่อนจุดตัดขาดทุนขึ้น (Trailing Stop) เพื่อล็อคกำไร |
ราคาปิดต่ำกว่าแถบล่าง | แถบล่างเริ่มแผ่ออก | ตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าแถบล่าง 1 ระดับส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (เพื่อป้องกันการสวิงผิดปกติ) |
- การผสมผสานตัวชี้วัดเพื่อการตัดสินใจที่รอบด้าน
การใช้ แถบโบลลิงเจอร์ เพื่อหาจุดตัดขาดทุนควรทำควบคู่ไปกับการประเมินโมเมนตัมของตลาด ซึ่งสามารถใช้ RSI และ MACD เข้ามาช่วย
- 1. การใช้ RSI ร่วมกับ Bollinger Bands
RSI (Relative Strength Index) วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวของราคา
- **สัญญาณขาย:** หากราคาแตะหรือหลุดแถบล่างของโบลลิงเจอร์ และ RSI อยู่ในโซนต่ำกว่า 30 (ขายมากเกินไป) นี่อาจเป็นจุดกลับตัวขาขึ้นที่ดี แต่ถ้าคุณตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ และราคาหลุดแถบล่างพร้อมกับ RSI ที่ยังคงต่ำมาก อาจหมายถึงแรงขายที่รุนแรงกว่าที่คาดไว้ ทำให้ต้องตัดขาดทุนตามแผนที่วางไว้
- 2. การใช้ MACD ร่วมกับ Bollinger Bands
MACD (Moving Average Convergence Divergence) ช่วยให้เห็นถึงทิศทางและแรงส่งของแนวโน้ม
- **สัญญาณยืนยันขาลง:** หากราคาเริ่มเคลื่อนตัวเข้าใกล้หรือทะลุแถบล่าง และเส้น MACD ตัดลงต่ำกว่าเส้นสัญญาณอย่างชัดเจน อาจเป็นสัญญาณที่หนักแน่นกว่าว่าการปรับฐานจะดำเนินต่อไป การใช้สัญญาณนี้จะช่วยให้เราไม่รีบตัดขาดทุนเร็วเกินไปเมื่อตลาดแค่สวิงเล็กน้อย
- จิตวิทยาการเทรดและข้อควรระวังด้านความเสี่ยง
การใช้เครื่องมือทางเทคนิคเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเทรด ความสำเร็จส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับวินัยและการจัดการอารมณ์ โดยเฉพาะเมื่อต้องตัดสินใจตัดขาดทุน
- กับดักทางจิตวิทยาที่พบบ่อย
1. **ความกลัวที่จะยอมรับความผิดพลาด (Fear of Admitting Loss):** ผู้เทรดมักจะเลื่อนจุดตัดขาดทุนออกไปเรื่อยๆ เมื่อราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดไว้ การใช้จุดตัดขาดทุนที่อิงจาก แถบโบลลิงเจอร์ ช่วยให้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเทคนิค ไม่ใช่อารมณ์ 2. **ความโลภเมื่อราคายังไม่ถึงจุดตัดขาดทุน:** เมื่อราคาลงมาใกล้จุดตัดขาดทุนที่ตั้งไว้ ผู้เทรดอาจรู้สึกว่า "เดี๋ยวมันก็กลับ" และยกเลิกการตัดขาดทุน ซึ่งนำไปสู่การขาดทุนที่ใหญ่กว่าเดิม การยึดมั่นในแผน การจัดการอารมณ์เมื่อตลาดผันผวนรุนแรง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
- ข้อควรระวังเกี่ยวกับความเสี่ยง
การใช้ แถบโบลลิงเจอร์ ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป โดยเฉพาะในช่วงตลาดที่มีการเคลื่อนไหวรุนแรงมาก (เช่น การประกาศข่าวสำคัญ) ซึ่งอาจทำให้เกิดการทะลุแถบอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (Whipsaw)
- **ความเสี่ยงระหว่างการเทรดสปอตกับฟิวเจอร์ส:** การใช้ สัญญาฟิวเจอร์ส เพื่อป้องกันความเสี่ยงนั้นมี ความเสี่ยงระหว่างการเทรดสปอตกับฟิวเจอร์ส แฝงอยู่ เช่น ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยในการถือสัญญาข้ามคืน (Funding Rate) และความเสี่ยงจากการถูกบังคับปิดสถานะ (Liquidation) หากใช้เลเวอเรจสูงเกินไปในการทำเฮดจ์
- **การตั้งค่าพารามิเตอร์:** การตั้งค่ามาตรฐานของโบลลิงเจอร์ (20 วัน, 2 เท่า SD) อาจไม่เหมาะกับทุกสินทรัพย์หรือทุกกรอบเวลา คุณอาจต้องทดลองปรับค่าเพื่อให้เข้ากับสไตล์การเทรดของคุณ หรือศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ การใช้ AI ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับสัญญาฟิวเจอร์สคริปโต เพื่อหาพารามิเตอร์ที่เหมาะสมที่สุด
การเรียนรู้เครื่องมือเช่น แถบโบลลิงเจอร์ ร่วมกับการใช้ สัญญาฟิวเจอร์ส อย่างมีสติในการป้องกันความเสี่ยง จะช่วยให้นักลงทุนสามารถปกป้องเงินทุนใน ตลาดสปอต ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)
- ความเสี่ยงระหว่างการเทรดสปอตกับฟิวเจอร์ส
- การปรับสมดุลพอร์ตด้วยการเทรดสองฝั่ง
- กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเบื้องต้น
- การจัดการอารมณ์เมื่อตลาดผันผวนรุนแรง
บทความแนะนำ
- การใช้บอทซื้อขายฟิวเจอร์สเพื่อเฮดจ์ความเสี่ยงจากราคาคริปโต
- การใช้ Kagi Charts (Kagi Charts)
- กลยุทธ์การเฮดจ์ความเสี่ยงด้วยสัญญาฟิวเจอร์สคริปโต: การใช้มาร์จินและการวิเคราะห์ทางเทคน
- กลยุทธ์การใช้เครื่องคำนวณมาร์จินสำหรับการซื้อขายฟิวเจอร์สคริปโต
- การใช้ Moving Average Convergence Divergence (MACD) (MACD)
Recommended Futures Trading Platforms
Platform | Futures perks & welcome offers | Register / Offer |
---|---|---|
Binance Futures | Up to 125× leverage; vouchers for new users; fee discounts | Sign up on Binance |
Bybit Futures | Inverse & USDT perpetuals; welcome bundle; tiered bonuses | Start on Bybit |
BingX Futures | Copy trading & social; large reward center | Join BingX |
WEEX Futures | Welcome package and deposit bonus | Register at WEEX |
MEXC Futures | Bonuses usable as margin/fees; campaigns and coupons | Join MEXC |
Join Our Community
Follow @startfuturestrading for signals and analysis.