การตั้งจุดซื้อขายด้วยแถบ Bollinger Bands
การตั้งจุดซื้อขายด้วยแถบ Bollinger Bands
ยินดีต้อนรับสู่บทความสำหรับผู้เริ่มต้นที่สนใจการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เรียกว่า แถบโบลลิงเจอร์ (Bollinger Bands) เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย ทั้งในตลาด ตลาดสปอต และการใช้ร่วมกับ สัญญาฟิวเจอร์ส เครื่องมือนี้เป็นที่นิยมอย่างมากเพราะช่วยให้เราเห็นความผันผวนของราคาและประเมินว่าราคาปัจจุบันอาจจะสูงหรือต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต การทำความเข้าใจเครื่องมือนี้จะช่วยให้การวางแผนการเข้าซื้อขายของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แถบโบลลิงเจอร์คืออะไร
แถบโบลลิงเจอร์ ประกอบด้วยสามเส้นหลักๆ ที่วาดบนกราฟราคา:
1. **เส้นกลาง (Middle Band):** โดยทั่วไปคือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (Simple Moving Average - SMA) ซึ่งมักจะตั้งค่าเป็น 20 ช่วงเวลา 2. **แถบบน (Upper Band):** คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่บวกด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สองเท่า 3. **แถบล่าง (Lower Band):** คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลบด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสองเท่า
แนวคิดหลักคือ ราคาของสินทรัพย์ส่วนใหญ่มักจะเคลื่อนไหวอยู่ภายในแถบบนและแถบล่างนี้ หากราคาแตะหรือทะลุแถบใดแถบหนึ่ง อาจเป็นสัญญาณว่าราคากำลังอยู่ในภาวะสุดโต่ง (Overbought หรือ Oversold) ซึ่งอาจนำไปสู่การกลับตัวของราคาได้ คุณสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การใช้ Bollinger Bands (Bollinger Bands)
การใช้แถบโบลลิงเจอร์เพื่อระบุจุดเข้าซื้อขาย
นักเทรดใช้ แถบโบลลิงเจอร์ เพื่อหาจุดที่ราคาอาจจะกลับตัว โดยเฉพาะเมื่อเกิดสภาวะที่เรียกว่า "การบีบตัว" หรือ Bollinger Band Squeeze ซึ่งหมายถึงแถบทั้งบนและล่างหดตัวเข้าหากัน บ่งบอกว่าความผันผวนต่ำ และมักจะตามมาด้วยการเคลื่อนไหวของราคาครั้งใหญ่
การตั้งจุดซื้อขายโดยใช้ Bollinger Bands มักอิงจากหลักการดังนี้:
- **สัญญาณซื้อ (Buy Signal):** เมื่อราคาแตะหรือทะลุแถบล่าง และมีสัญญาณยืนยันจากตัวชี้วัดอื่นว่าแรงขายเริ่มอ่อนแรงลง
- **สัญญาณขาย (Sell Signal):** เมื่อราคาแตะหรือทะลุแถบบน และมีสัญญาณยืนยันว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลง
เพื่อเพิ่มความแม่นยำ เราควรใช้ Bollinger Bands ร่วมกับตัวชี้วัดโมเมนตัม (Momentum Indicators) เช่น RSI หรือ MACD
การยืนยันด้วยตัวชี้วัดอื่น
1. **การใช้ร่วมกับ RSI (Relative Strength Index):**
* หากราคาแตะแถบล่างของ Bollinger Bands และ RSI อยู่ในโซนต่ำกว่า 30 (Overbought) อาจเป็นสัญญาณซื้อที่แข็งแกร่ง การทำความเข้าใจ การเข้าซื้อขายตามสัญญาณ RSI สำหรับมือใหม่ จะช่วยให้คุณประเมินโมเมนตัมได้ดีขึ้น * หากราคาแตะแถบบน และ RSI อยู่ในโซนสูงกว่า 70 (Oversold) อาจเป็นสัญญาณขาย
2. **การใช้ร่วมกับ MACD (Moving Average Convergence Divergence):**
* เมื่อราคาแตะแถบล่าง และ MACD กำลังตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ (Signal Line) อาจเป็นสัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น * การมองหาความแตกต่าง (Divergence) ระหว่างราคาที่ทำจุดต่ำสุดใหม่กับ MACD ที่ทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น อาจเป็นสัญญาณเตือนการกลับตัวที่สำคัญ ซึ่งคุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ใน การใช้ MACD เพื่อหาจุดกลับตัวของราคา
การบริหารการถือครองในตลาดสปอตและการใช้ฟิวเจอร์สเพื่อป้องกันความเสี่ยง
สำหรับผู้ที่ถือสินทรัพย์ใน ตลาดสปอต (Spot Market) การใช้ สัญญาฟิวเจอร์ส (Futures Contracts) สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการจัดการความเสี่ยง หรือที่เรียกว่า "การป้องกันความเสี่ยง" (Hedging)
สมมติว่าคุณซื้อเหรียญ A ไว้ใน ตลาดสปอต และคุณคาดว่าราคาอาจจะปรับตัวลงในระยะสั้น การใช้ Bollinger Bands ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าจะ "ป้องกันความเสี่ยง" ส่วนหนึ่งของพอร์ตหรือไม่
ตัวอย่างการป้องกันความเสี่ยงแบบบางส่วน (Partial Hedging)
หากราคาของเหรียญ A แตะแถบบนของ Bollinger Bands และ RSI แสดงภาวะซื้อมากเกินไป คุณอาจตัดสินใจว่านี่คือจุดที่ราคาอาจจะย่อตัวลง คุณสามารถทำดังนี้:
1. **การเปิดสถานะ Short ในฟิวเจอร์ส:** คุณเปิดสถานะขาย (Short Position) ใน สัญญาฟิวเจอร์ส ของเหรียญ A จำนวนเล็กน้อย (เช่น 25% ของจำนวนที่คุณถือในสปอต) เพื่อป้องกันการขาดทุนหากราคาลง 2. **การตั้งจุดทำกำไร/ตัดขาดทุน:** คุณตั้งเป้าหมายทำกำไร (Take Profit) สำหรับสถานะ Short เมื่อราคาลงมาถึงเส้นกลางของ Bollinger Bands หรือเมื่อ MACD เริ่มส่งสัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น 3. **การยกเลิกการป้องกันความเสี่ยง:** เมื่อราคาใน ตลาดสปอต ย่อตัวลงมาถึงแถบล่าง และ Bollinger Bands เริ่มบีบตัวอีกครั้ง (Squeeze) คุณอาจปิดสถานะ Short ในฟิวเจอร์ส เพื่อให้คุณยังคงถือครองสินทรัพย์สปอตไว้ได้โดยไม่เสียโอกาสหากราคาดีดกลับ
การใช้ฟิวเจอร์สเพื่อป้องกันความเสี่ยงไม่ได้มีไว้เพื่อเก็งกำไรเท่านั้น แต่เพื่อปกป้องมูลค่าของสินทรัพย์ที่คุณมีอยู่แล้ว การเรียนรู้ ตัวอย่างการป้องกันความเสี่ยงอย่างง่ายในคริปโต จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
การตั้งจุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุนด้วย Bollinger Bands
การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) และการตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เป็นส่วนสำคัญของการเทรดที่ประสบความสำเร็จ แม้ว่า Bollinger Bands จะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นตัวกำหนด Stop Loss โดยตรง แต่ก็มีแนวทางในการใช้งาน
- **การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit):** เมื่อคุณเข้าซื้อจากแถบล่าง เป้าหมายทำกำไรแรกมักจะอยู่ที่เส้นกลาง (SMA 20) และเป้าหมายที่สองคือแถบบน หากราคาวิ่งไปถึงเป้าหมายแรก คุณควรพิจารณาปิดสถานะบางส่วน หรือปรับจุดตัดขาดทุนให้สูงขึ้น (Trailing Stop) การเรียนรู้ การตั้งค่า Trailing Stop ที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณล็อคกำไรได้ดีขึ้น
- **การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss):** หากคุณซื้อเมื่อราคาแตะแถบล่าง แต่ราคาลงไปปิดต่ำกว่าแถบล่างอย่างชัดเจน (โดยเฉพาะเมื่อมีปริมาณการซื้อขายสูง) นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าการกลับตัวอาจไม่เกิดขึ้น คุณควรพิจารณาปิดสถานะเพื่อจำกัดการขาดทุน คุณสามารถศึกษาวิธีการตั้งจุดตัดขาดทุนที่เฉพาะเจาะจงได้จาก การตั้งจุดตัดขาดทุนด้วยแถบ Bollinger Bands
ตัวอย่างการตั้งค่าการซื้อขาย (สมมติ)
นี่คือตัวอย่างตารางที่แสดงการตัดสินใจซื้อขายโดยใช้ Bollinger Bands ร่วมกับ RSI สำหรับการซื้อใน ตลาดสปอต
สภาวะราคา | RSI (14) | การตัดสินใจซื้อขาย | เหตุผลหลัก |
---|---|---|---|
ราคาแตะแถบล่าง (Lower Band) | 25 (Oversold) | เปิดสถานะซื้อ (Long) | ราคาย่อตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก และมีแรงซื้อกลับเข้ามา |
ราคาแตะแถบบน (Upper Band) | 72 (Overbought) | ปิดสถานะซื้อ หรือ เปิดสถานะ Short ในฟิวเจอร์ส | ราคาสูงเกินไป อาจมีการพักตัว |
ราคาเคลื่อนไหวระหว่างเส้นกลางกับแถบบน | 60 | ถือสถานะ หรือ รอสัญญาณยืนยัน | แนวโน้มยังเป็นขาขึ้น แต่ขาดโมเมนตัมที่ชัดเจน |
จิตวิทยาการเทรดและข้อควรระวัง
แม้ว่า แถบโบลลิงเจอร์ จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่การใช้เครื่องมือใดๆ ก็ตามต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของจิตวิทยาการเทรดที่ดี
1. **หลีกเลี่ยงการซื้อขายทันทีที่แตะแถบ:** การแตะแถบไม่ได้หมายถึงการกลับตัวเสมอไป ในตลาดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง (Strong Trend) ราคาอาจจะ "เดิน" ไปตามแถบบนหรือแถบล่างเป็นเวลานาน การใช้การยืนยันจากตัวชี้วัดอื่น เช่น MACD หรือ RSI จึงสำคัญมาก 2. **ความผิดพลาดของมือใหม่:** มือใหม่มักจะซื้อทันทีที่ราคาแตะแถบล่างเพราะคิดว่า "ถูกแล้ว" และขายทันทีที่แตะแถบบนเพราะคิดว่า "แพงแล้ว" ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน 3. **การจัดการความเสี่ยง:** ไม่ว่าคุณจะใช้กลยุทธ์ใดก็ตาม การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ กำหนดขนาดการซื้อขายของคุณให้เหมาะสมกับขนาดบัญชี และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจ ฟีเจอร์สำคัญของแพลตฟอร์มเทรดที่ต้องรู้ เพื่อใช้เครื่องมือ Stop Loss และ Take Profit ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำความเข้าใจเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถรวมกลยุทธ์การซื้อขายใน ตลาดสปอต เข้ากับการบริหารความเสี่ยงผ่าน สัญญาฟิวเจอร์ส ได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)
- ตัวอย่างการป้องกันความเสี่ยงอย่างง่ายในคริปโต
- การเข้าซื้อขายตามสัญญาณ RSI สำหรับมือใหม่
- การใช้ MACD เพื่อหาจุดกลับตัวของราคา
- ฟีเจอร์สำคัญของแพลตฟอร์มเทรดที่ต้องรู้
บทความแนะนำ
- การตั้งค่า Trailing Stop ที่เหมาะสม
- การติดตามผลการดำเนินงาน
- Algorithmic Trading (การซื้อขายด้วยอัลกอริทึม)
- การซื้อขายด้วยตนเอง
- การติดตามข่าวสาร
Recommended Futures Trading Platforms
Platform | Futures perks & welcome offers | Register / Offer |
---|---|---|
Binance Futures | Up to 125× leverage; vouchers for new users; fee discounts | Sign up on Binance |
Bybit Futures | Inverse & USDT perpetuals; welcome bundle; tiered bonuses | Start on Bybit |
BingX Futures | Copy trading & social; large reward center | Join BingX |
WEEX Futures | Welcome package and deposit bonus | Register at WEEX |
MEXC Futures | Bonuses usable as margin/fees; campaigns and coupons | Join MEXC |
Join Our Community
Follow @startfuturestrading for signals and analysis.