Order Types
- ประเภทคำสั่งซื้อ (Order Types) ในตลาดฟิวเจอร์สคริปโต: คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้น
ตลาด ฟิวเจอร์สคริปโต เป็นตลาดที่มีความซับซ้อนและมีเครื่องมือมากมายให้เทรดเดอร์ใช้ประโยชน์ หนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดคือ **ประเภทคำสั่งซื้อ (Order Types)** ซึ่งเป็นวิธีการที่เทรดเดอร์ระบุเงื่อนไขในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล การเข้าใจประเภทคำสั่งซื้อต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เริ่มต้น เพื่อให้สามารถบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะอธิบายประเภทคำสั่งซื้อที่สำคัญต่างๆ ในตลาดฟิวเจอร์สคริปโตอย่างละเอียด พร้อมยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เข้าใจง่าย
- ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับคำสั่งซื้อ
ก่อนที่จะเจาะลึกไปที่ประเภทคำสั่งซื้อต่างๆ เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานกันก่อน คำสั่งซื้อ (Order) คือคำขอจากเทรดเดอร์ไปยังตลาดเพื่อซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลในราคาและปริมาณที่กำหนด คำสั่งซื้อจะถูกส่งไปยัง Order Book ซึ่งเป็นสมุดบันทึกที่แสดงรายการคำสั่งซื้อและคำสั่งขายทั้งหมดที่รอดำเนินการในตลาด
- **Bid Price:** ราคาที่ผู้ซื้อเต็มใจที่จะซื้อสินทรัพย์ดิจิทัล
- **Ask Price:** ราคาที่ผู้ขายเต็มใจที่จะขายสินทรัพย์ดิจิทัล
- **Spread:** ความแตกต่างระหว่าง Bid Price และ Ask Price
เมื่อคำสั่งซื้อของผู้ซื้อและผู้ขายตรงกัน (ราคาและปริมาณ) การซื้อขายจะเกิดขึ้น และคำสั่งซื้อจะถูกลบออกจาก Order Book
- ประเภทคำสั่งซื้อหลัก
มีประเภทคำสั่งซื้อหลักๆ ที่เทรดเดอร์ใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดฟิวเจอร์สคริปโต ได้แก่:
1. **Market Order (คำสั่งซื้อตามราคาตลาด):** เป็นคำสั่งซื้อที่ง่ายที่สุดและถูกใช้งานมากที่สุด Market Order จะดำเนินการทันทีในราคาที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในตลาด ณ ขณะนั้น ข้อดีคือการดำเนินการที่รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือราคาที่ได้อาจแตกต่างจากราคาที่คุณเห็นตอนส่งคำสั่งซื้อ เนื่องจากราคาในตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าหรือออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว โดยไม่กังวลเรื่องราคามากนัก
2. **Limit Order (คำสั่งซื้อจำกัดราคา):** เป็นคำสั่งซื้อที่เทรดเดอร์กำหนดราคาที่ต้องการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ คำสั่งซื้อจะดำเนินการเฉพาะเมื่อราคาในตลาดถึงระดับราคาที่กำหนดเท่านั้น ข้อดีคือคุณสามารถควบคุมราคาที่ซื้อหรือขายได้ แต่ข้อเสียคือคำสั่งซื้ออาจไม่ถูกดำเนินการหากราคาไม่ถึงระดับที่กำหนด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อหรือขายในราคาที่เฉพาะเจาะจง
3. **Stop-Loss Order (คำสั่งซื้อขายตัดขาดทุน):** เป็นคำสั่งซื้อที่ใช้เพื่อจำกัดความเสี่ยงในการขาดทุน คำสั่งซื้อจะถูกตั้งไว้ที่ราคาที่ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน (สำหรับ Long Position) หรือสูงกว่าราคาปัจจุบัน (สำหรับ Short Position) เมื่อราคาถึงระดับที่กำหนด คำสั่งซื้อจะถูกแปลงเป็น Market Order และดำเนินการทันที ข้อดีคือช่วยป้องกันการขาดทุนที่เกินกว่าที่ยอมรับได้ แต่ข้อเสียคืออาจถูกกระตุ้นโดยความผันผวนของตลาดที่ไม่เกี่ยวข้อง
4. **Take-Profit Order (คำสั่งซื้อทำกำไร):** เป็นคำสั่งซื้อที่ใช้เพื่อล็อกกำไร คำสั่งซื้อจะถูกตั้งไว้ที่ราคาที่สูงกว่าราคาปัจจุบัน (สำหรับ Long Position) หรือต่ำกว่าราคาปัจจุบัน (สำหรับ Short Position) เมื่อราคาถึงระดับที่กำหนด คำสั่งซื้อจะถูกแปลงเป็น Market Order และดำเนินการทันที ข้อดีคือช่วยให้คุณล็อกกำไรได้โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา แต่ข้อเสียคืออาจพลาดโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้นหากราคาขึ้นไปอีก
- ประเภทคำสั่งซื้อขั้นสูง
นอกเหนือจากประเภทคำสั่งซื้อหลักแล้ว ยังมีประเภทคำสั่งซื้อขั้นสูงที่เทรดเดอร์สามารถใช้เพื่อปรับกลยุทธ์การซื้อขายของตนให้มีความซับซ้อนมากขึ้น ได้แก่:
1. **Stop-Limit Order:** เป็นการผสมผสานระหว่าง Stop Order และ Limit Order เมื่อราคาถึงระดับ Stop Price คำสั่งซื้อจะถูกแปลงเป็น Limit Order ที่ราคา Limit Price ข้อดีคือให้การควบคุมราคาที่ดีกว่า Stop-Loss Order แต่ข้อเสียคืออาจไม่ถูกดำเนินการหากราคาเคลื่อนที่เร็วเกินไป
2. **Trailing Stop Order:** เป็น Stop Order ที่ปรับระดับราคาตามการเคลื่อนที่ของราคาปัจจุบัน หากราคาเคลื่อนที่ในทิศทางที่เอื้ออำนวย Stop Price จะปรับขึ้น (สำหรับ Long Position) หรือลง (สำหรับ Short Position) เพื่อล็อกกำไรที่เพิ่มขึ้น แต่หากราคาเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้าม Stop Price จะยังคงอยู่ที่เดิม ข้อดีคือช่วยให้คุณล็อกกำไรได้โดยอัตโนมัติ และจำกัดความเสี่ยงในการขาดทุน
3. **Fill or Kill (FOK) Order:** เป็นคำสั่งซื้อที่ต้องดำเนินการทั้งหมดในทันที หากไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด คำสั่งซื้อจะถูกยกเลิก ข้อดีคือช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคำสั่งซื้อจะถูกดำเนินการในราคาที่ต้องการ แต่ข้อเสียคืออาจไม่ถูกดำเนินการเลยหากปริมาณที่ต้องการซื้อหรือขายมีมากเกินไป
4. **Immediate or Cancel (IOC) Order:** เป็นคำสั่งซื้อที่ต้องดำเนินการทันทีเท่าที่ทำได้ หากไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะถูกยกเลิก ข้อดีคือช่วยให้คุณดำเนินการซื้อหรือขายได้ทันที และลดความเสี่ยงที่จะพลาดโอกาส ข้อเสียคืออาจไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด
5. **Post Only Order:** เป็นคำสั่งซื้อที่ถูกส่งไปยัง Order Book โดยไม่ถูกดำเนินการทันที คำสั่งซื้อจะถูกดำเนินการเฉพาะเมื่อมีคำสั่งซื้อที่ตรงกันใน Order Book เท่านั้น ข้อดีคือช่วยลดผลกระทบต่อราคา และประหยัดค่าธรรมเนียมการซื้อขาย
- การเลือกประเภทคำสั่งซื้อที่เหมาะสม
การเลือกประเภทคำสั่งซื้อที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่:
- **กลยุทธ์การซื้อขาย:** กลยุทธ์การซื้อขายของคุณกำหนดประเภทคำสั่งซื้อที่เหมาะสมที่สุด ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้กลยุทธ์ Day Trading คุณอาจต้องการใช้ Market Order หรือ Limit Order เพื่อเข้าและออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว ในขณะที่หากคุณใช้กลยุทธ์ Swing Trading คุณอาจต้องการใช้ Stop-Loss Order และ Take-Profit Order เพื่อบริหารความเสี่ยงและล็อกกำไร
- **ความผันผวนของตลาด:** ในตลาดที่มีความผันผวนสูง คุณอาจต้องการใช้ Limit Order หรือ Stop-Limit Order เพื่อควบคุมราคาที่ซื้อหรือขาย ในขณะที่ในตลาดที่มีความผันผวนต่ำ คุณอาจสามารถใช้ Market Order ได้
- **สภาพคล่องของตลาด:** ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง คุณสามารถใช้ Market Order ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง Slippage (ความแตกต่างระหว่างราคาที่คาดหวังและราคาที่ดำเนินการจริง) แต่ในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ คุณควรใช้ Limit Order เพื่อให้แน่ใจว่าคำสั่งซื้อของคุณจะถูกดำเนินการในราคาที่ต้องการ
- กลยุทธ์การซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับประเภทคำสั่งซื้อ
- **Scalping:** ใช้ Market Order และ Limit Order เพื่อทำกำไรจากความผันผวนเล็กน้อยของราคา
- **Breakout Trading:** ใช้ Limit Order เพื่อเข้าสู่ตลาดเมื่อราคา Breakout จากระดับแนวรับหรือแนวต้าน
- **Reversal Trading:** ใช้ Stop-Loss Order และ Take-Profit Order เพื่อจับสัญญาณการกลับตัวของราคา
- **Trend Following:** ใช้ Trailing Stop Order เพื่อล็อกกำไรและติดตามแนวโน้มของราคา
- **Arbitrage:** ใช้ FOK Order และ IOC Order เพื่อใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของราคาในตลาดต่างๆ
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับประเภทคำสั่งซื้อ
- **Support and Resistance Levels:** ใช้ Limit Order เพื่อซื้อเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับ Support และขายเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับ Resistance
- **Moving Averages:** ใช้ Stop-Loss Order เพื่อออกจากตลาดเมื่อราคาตัดผ่าน Moving Average
- **Fibonacci Retracement:** ใช้ Take-Profit Order เพื่อล็อกกำไรเมื่อราคาถึงระดับ Fibonacci Retracement
- **Volume Analysis:** สังเกตปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันสัญญาณการซื้อขาย และปรับระดับ Stop-Loss และ Take-Profit ให้เหมาะสม
- **Order Flow Analysis:** วิเคราะห์ Order Book เพื่อดูความต้องการซื้อและขาย และคาดการณ์การเคลื่อนที่ของราคา
- สรุป
การเข้าใจประเภทคำสั่งซื้อต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ทุกคนในตลาดฟิวเจอร์สคริปโต การเลือกประเภทคำสั่งซื้อที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คุณบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมพิจารณากลยุทธ์การซื้อขาย ความผันผวนของตลาด และสภาพคล่องของตลาดเมื่อเลือกประเภทคำสั่งซื้อ และฝึกฝนการใช้งานประเภทคำสั่งซื้อต่างๆ ในบัญชีทดลองก่อนที่จะนำไปใช้ในบัญชีจริง
การบริหารความเสี่ยง เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับการเลือกประเภทคำสั่งซื้อ การกำหนดขนาด Position ที่เหมาะสมและการใช้ Stop-Loss Order จะช่วยป้องกันการขาดทุนที่เกินกว่าที่ยอมรับได้ และรักษาเงินทุนของคุณไว้
การเรียนรู้และทำความเข้าใจ Order Book ก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของการซื้อขายในตลาด และตัดสินใจเลือกประเภทคำสั่งซื้อที่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น
สุดท้ายนี้ การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การวิเคราะห์ทางเทคนิค และ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจในตลาดมากขึ้น และสามารถใช้ประโยชน์จากประเภทคำสั่งซื้อต่างๆ ได้อย่างเต็มที่
การซื้อขายฟิวเจอร์ส เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้และความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง การติดตามข่าวสารและแนวโน้มของตลาด รวมถึงการเรียนรู้จากประสบการณ์ จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการซื้อขายของคุณได้อย่างต่อเนื่อง
ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ก็เป็นอีกปัจจัยที่ควรพิจารณา เนื่องจากค่าธรรมเนียมอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรของคุณได้
สภาพคล่องของตลาด มีผลต่อการดำเนินการคำสั่งซื้อของคุณ ดังนั้นควรเลือกซื้อขายสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง
Slippage คือความแตกต่างระหว่างราคาที่คาดหวังและราคาที่ดำเนินการจริง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในตลาดที่มีความผันผวนสูง
Leverage คือการใช้เงินทุนจำนวนน้อยเพื่อควบคุม Position ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งอาจเพิ่มผลกำไรหรือผลขาดทุนของคุณได้
Margin Call คือการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์เมื่อเงินทุนในบัญชีของคุณไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมความเสี่ยง
Hedging คือการใช้ Position ที่ตรงกันข้ามเพื่อลดความเสี่ยง
Arbitrage คือการใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของราคาในตลาดต่างๆ
Backtesting คือการทดสอบกลยุทธ์การซื้อขายกับข้อมูลในอดีตเพื่อประเมินประสิทธิภาพ
Risk/Reward Ratio คืออัตราส่วนระหว่างผลกำไรที่คาดหวังและผลขาดทุนที่คาดหวัง
Position Sizing คือการกำหนดขนาด Position ที่เหมาะสมเพื่อบริหารความเสี่ยง
Trading Psychology คือการควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของคุณในการซื้อขาย
Trading Journal คือการบันทึกการซื้อขายของคุณเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์
Tax Implications คือผลกระทบทางภาษีของการซื้อขายคริปโต
Regulation คือกฎหมายและข้อบังคับที่ควบคุมตลาดคริปโต
DeFi หรือ Decentralized Finance เป็นระบบการเงินที่ทำงานบน Blockchain
NFTs หรือ Non-Fungible Tokens เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่สามารถทดแทนกันได้
Metaverse คือโลกเสมือนจริงที่ผู้คนสามารถโต้ตอบกันได้
Web3 คืออินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่เน้นการกระจายอำนาจและความเป็นส่วนตัว
Blockchain Technology คือเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังคริปโตเคอร์เรนซี
Smart Contracts คือสัญญาที่ถูกเขียนเป็นโค้ดและทำงานโดยอัตโนมัติบน Blockchain
Decentralization คือการกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง
Volatility คือความผันผวนของราคา
Liquidity คือสภาพคล่องของตลาด
Order Book คือสมุดบันทึกที่แสดงรายการคำสั่งซื้อและคำสั่งขายทั้งหมดที่รอดำเนินการในตลาด
Market Depth คือปริมาณคำสั่งซื้อและคำสั่งขายที่รอดำเนินการในแต่ละระดับราคา
Trading Volume คือปริมาณการซื้อขายในระยะเวลาที่กำหนด
Technical Analysis คือการวิเคราะห์กราฟราคาและตัวชี้วัดทางเทคนิคเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนที่ของราคา
Fundamental Analysis คือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น เทคโนโลยี ทีมพัฒนา และการนำไปใช้งาน
Quantitative Analysis คือการใช้สถิติและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อวิเคราะห์ตลาด
Algorithmic Trading คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อดำเนินการซื้อขายโดยอัตโนมัติ
High-Frequency Trading คือการซื้อขายด้วยความเร็วสูงโดยใช้คอมพิวเตอร์และอัลกอริทึมที่ซับซ้อน
**ประเภทคำสั่งซื้อ** | **คำอธิบาย** | **ข้อดี** | **ข้อเสีย** | **เหมาะสำหรับ** |
Market Order | ดำเนินการทันทีในราคาที่ดีที่สุด | รวดเร็ว | ราคาอาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง | ผู้ที่ต้องการเข้าหรือออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว |
Limit Order | กำหนดราคาที่ต้องการซื้อหรือขาย | ควบคุมราคาได้ | อาจไม่ถูกดำเนินการ | ผู้ที่ต้องการซื้อหรือขายในราคาที่เฉพาะเจาะจง |
Stop-Loss Order | จำกัดความเสี่ยงในการขาดทุน | ป้องกันการขาดทุนที่เกินกว่าที่ยอมรับได้ | อาจถูกกระตุ้นโดยความผันผวนของตลาด | ผู้ที่ต้องการบริหารความเสี่ยง |
Take-Profit Order | ล็อกกำไร | ล็อกกำไรได้โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ | อาจพลาดโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้น | ผู้ที่ต้องการล็อกกำไร |
Stop-Limit Order | ผสมผสาน Stop Order และ Limit Order | ให้การควบคุมราคาที่ดีกว่า Stop-Loss Order | อาจไม่ถูกดำเนินการหากราคาเคลื่อนที่เร็วเกินไป | ผู้ที่ต้องการควบคุมราคาและจำกัดความเสี่ยง |
Trailing Stop Order | ปรับระดับราคาตามการเคลื่อนที่ของราคา | ล็อกกำไรได้โดยอัตโนมัติ และจำกัดความเสี่ยงในการขาดทุน | อาจถูกกระตุ้นโดยความผันผวนของตลาด | ผู้ที่ต้องการติดตามแนวโน้มของราคา |
Fill or Kill (FOK) Order | ต้องดำเนินการทั้งหมดในทันที | มั่นใจได้ว่าคำสั่งซื้อจะถูกดำเนินการในราคาที่ต้องการ | อาจไม่ถูกดำเนินการเลย | ผู้ที่ต้องการดำเนินการทั้งหมดในราคาที่ต้องการ |
Immediate or Cancel (IOC) Order | ดำเนินการทันทีเท่าที่ทำได้ | ดำเนินการซื้อหรือขายได้ทันที | อาจไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด | ผู้ที่ต้องการดำเนินการซื้อหรือขายทันที |
Post Only Order | ส่งไปยัง Order Book โดยไม่ถูกดำเนินการทันที | ลดผลกระทบต่อราคา และประหยัดค่าธรรมเนียม | อาจไม่ถูกดำเนินการทันที | ผู้ที่ต้องการลดผลกระทบต่อราคา |
แพลตฟอร์มการซื้อขายฟิวเจอร์สที่แนะนำ
แพลตฟอร์ม | คุณสมบัติฟิวเจอร์ส | ลงทะเบียน |
---|---|---|
Binance Futures | เลเวอเรจสูงสุดถึง 125x, สัญญา USDⓈ-M | ลงทะเบียนเลย |
Bybit Futures | สัญญาแบบย้อนกลับตลอดกาล | เริ่มการซื้อขาย |
BingX Futures | การซื้อขายโดยการคัดลอก | เข้าร่วม BingX |
Bitget Futures | สัญญารับประกันด้วย USDT | เปิดบัญชี |
BitMEX | แพลตฟอร์มคริปโต, เลเวอเรจสูงสุดถึง 100x | BitMEX |
เข้าร่วมชุมชนของเรา
ติดตามช่อง Telegram @strategybin เพื่อข้อมูลเพิ่มเติม. แพลตฟอร์มทำกำไรที่ดีที่สุด – ลงทะเบียนเลย.
เข้าร่วมกับชุมชนของเรา
ติดตามช่อง Telegram @cryptofuturestrading เพื่อการวิเคราะห์, สัญญาณฟรี และอื่น ๆ!